วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ชมพู่

ชมพู่     เป็นไม้ผลเขตร้อนที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย คนไทยนิยมปลูกตามบ้านและกินกันมานาน ผลชมพู่โดยส่วนใหญ่จะมีรูปร่างคล้ายสามเหลี่ยมฐานกว้างคือ ผลครึ่งบนด้านขั้วจะค่อนข้างเล็ก แล้วค่อยใหญ่ไปทางก้นผล มีกลีบเลี้ยงติดอยู่ตรงปลาย เมื่อผ่าครึ่งตามยาวจะมีลักษณะคล้ายจมูกคน ชมพู่มีหลากหลายพันธุ์ ทั้งพันธุ์ดั้งเดิมที่ปัจจุบันหาดูและหากินได้ยาก อย่างพันธุ์น้ำดอกไม้ สาแหรก มะเหมี่ยว หรือพันธุ์ที่มีการปรับปรุงพันธุ์เพื่อการค้า เช่น เพชรสายรุ้ง เพชรสามพราน เพชรน้ำผึ้ง ทูลเกล้า
ในผลชมพู่สดมีเส้นใยอาหารทั้งชนิดที่สามารถละลายน้ำและไม่สามารถละลายน้ำ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบขับถ่าย ช่วยลดและควบคุมคอเลสเตอรอลในร่างกาย ลดความเสี่ยงโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด ป้องกันโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ มีวิตามินเอช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับสายตาและบำรุงรักษาเซลล์ประสาทตา วิตามินซีช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ชมพู่ยังเป็นหนึ่งในผลไม้ไม่กี่ชนิดที่มีไลโคพีน (Lycopiene) รงควัตถุสีแดงที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ





        ตามตำรายาโบราณใช้เนื้อชมพู่มาทำแห้งแล้วบดเก็บไว้กินเป็นยาบำรุงร่างกาย เมล็ดที่เราทิ้งไปไม่เห็นค่า ใช้เป็นยาแก้ท้องเสีย แก้โรคเบาหวาน แม้แต่ใบก็ใช้เป็นยาลดไข้ แก้ตาเจ็บได้

ด้วยผลชมพู่มีเปลือกบางและนุ่มและเนื้อนิ่ม จึงจำเป็นต้องห่อผลด้วยกระดาษหรือถุงพลาสติกตั้งแต่ผลเล็ก ๆ เพื่อป้องกันแมลงเจาะทำลายและช่วยให้ผิวชมพู่สวย ผู้บริโภคควรเลือกซื้อผลที่ไม่มีรอยซ้ำ ถลอกหรือรอยหนอนเจาะ และเนื่องจากเนื้อชมพู่ช้ำง่าย บวกกับอายุการเก็บรักษาค่อนข้างสั้น ผลผลิตส่วนใหญ่จึงจำหน่ายภายในประเทศ ไม่เหมาะกับการส่งออก แต่ก็มีการส่งไปยังประเทศใกล้ ๆ อย่างฮ่องกง สิงคโปร์ อินโดนีเซียอยู่บ้าง

วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ฝรั่ง

ฝรั่ง . จัดเป็นผลไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในแถบอเมริกากลางและในหมู่เกาะอินดีสต์ตะวันตก และคาดว่ามีการนำเข้ามาในประเทศไทยในช่วงสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยสายพันธุ์ในบ้านเราที่นิยมนำมารับประทานสดๆ ก็ได้แก่ฝรั่งกิมจู ฝรั่งเวียดนาม ฝรั่งแป้นสีทอง ฝรั่งไร้เมล็ด ฝรั่งกลมสาลี่ เป็นต้น

ฝรั่งเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด โดยจัดเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงที่สุดในบรรดาผลไม้ทุกชนิด ในฝรั่งน้ำหนัก 165 กรัม จะให้วิตามินสูงถึง 377 มิลลิกรัม ! มีวิตามินซี  สูงกว่าส้ม ถึง 5 เท่า !

ฝรั่ง เป็นผลไม้เพื่อสุขภาพที่เหมาะมากสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน ลดน้ำหนัก หรือผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากฝรั่งอุดมไปด้วยกากใยอาหาร เมื่อรับประทานแล้วจะทำให้อิ่มนาน ช่วยกำจัดท้องร้องอาการหิวที่คอยมากวนใจ เพราะกากใยจะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ช่วยปรับระดับการใช้อินซูลินของร่างกายให้เหมาะสม และกากใยยังช่วยล้างพิษโดยรวบได้อีกด้วย จึงส่งผลทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งสดใส

คำแนะนำ :   การรับประทานฝรั่งไม่ควรจะปอกเปลือกทั้งนี้เพื่อคงคุณค่าของสารอาหาร และไม่ควรรับประทานมากจนเกินไป ถ้าเป็นไปได้ไม่ควนรับประทานร่วมกับพริกเกลือน้ำตาลหรืออื่นๆ เพราะนอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้วยังทำให้เราอ้วนขึ้นอีกด้วย

มะขาม

มะขาม              ผลไม้เขตร้อน มะขาม ภาษาอังกฤษ คือ Tamarind ส่วนมะขามชื่อวิทยา ศาสตร์จะใช้คำว่า Tamarindus indica Linn. มะขาม มีต้นดำเนิดในทวีฟแอฟริกา ต่อมามีการนำเข้ามาปลูกในแถบเอเชียรวมทั้งไทยด้วย โดยยังเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดเพชรบูรณ์เมืองมะขามหวานด้วย และตามตำราพรหมชาติ ถือว่ามะขามเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่ง ที่ช่วยป้องกันสิ่งเลวร้าย ผีร้ายต่างๆไม่ให้มากล้ำกลาย อีกทั้งยังเป็นต้นไม้ที่มีชื่อมลคล ถือกันเป็นเคล็ดทำให้มีคนเกรงขาม




สำหรับประโยชน์ของมะขามและสรรพคุณมะขามนั้นมีมากมาย และจัดว่าเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและยังมีสรรพคุณใช้เป็นยารักษาโรคอีกด้วย โดยในส่วนที่นำมาใช้เป็นยาจะเป็นเนื้อฝักแก่(มะขามเปียก) เปลือกของลำต้น(ทั้งสดและแห้ง) และเนื้อในเมล็ด โดยสามารถช่วยรักษาได้หลายโรค เช่น เป็นยาขับเสมหะ แก้อาการท้องเดิน บรรเทาอาการท้องผูก ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ เป็นต้นมะขามยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อย่างวิตามินซี วิตามินบี2 วิตามินเอ ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก โปรตีน คาร์โบไฮเดรต เป็นต้น โดยมะขามที่แก่จัดนั้นเราจะเรียกว่า “มะขามเปียก” โดยมะขามหวาน 100 กรัม จะมีแคลอรี่เท่ากับ 314 แคลอรี่

แตงโม

แตงโม ผลไม้แสนโปรดของใครหลายๆคน ยิ่งช่วงหน้าร้อนแบบนี้ อยากหาแตงโมสักลูกมากินกันให้ชื่นใจ กันเลยก็ว่าได้ ในบ้านเรามีหลายสายพันธุ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น แตงโมจินตหรา แตงโมตอปิโด และแตงโมน้ำผึ้ง(ที่มีเนื้อสีเหลือง)
แตงโมเป็นพืชเป็นพืชในวงศ์ (Cucurbitaceae) เช่นเดียวกับบวบ ฟัก และแตงชนิดต่างๆที่นำเสนอไปแล้ว มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า (Citrullus lanatus Mats. Et Nakai)  ภาษาอังกฤษเรียก Water melon ภาคเหนือเรียก มะเต้า ภาคใต้เรียก แตงจีน


 แตงโมเป็นพืชล้มลุกประเภทเถาเลื้อย โตเร็ว ลักษณะทั่วไปคล้ายแตงชนิดอื่น ๆ แต่ใบมีลักษณะพิเศษกว่าแตงอื่นๆ ที่มักเป็นแผ่นเดียวกันตลอด ใบแตงโมเป็นแฉกๆ แคบๆ ไม่ค่อยเป็นระเบียบ ดอกมี 2 เพศ แยกจากกันบนต้นเดียวกัน กลีบดอกสีเหลืองอ่อน ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่อาจมีสีผิวเขียวอ่อน เขียวแก่ น้ำเงินแก่ เขียวลายขาว ฯลฯ ลักษณะผลมีทั้งกลม รูปไข่ หรือทรงกระบอกยาวหัวท้ายมน ฯลฯ
       มีขนาดตั้งแต่ค่อนข้างเล็กไปจนโตหลายกิโลกรัม สีของเนื้อเมื่ออ่อนสีขาว เมื่อแก่จัดมีทั้งสีขาว เหลือง ชมพูและแดง เมล็ดแบน เปลือกหนากว่าแตงกวา สีเปลือกเมล็ดมีทั้งสีน้ำตาลอ่อนไปถึงเข้าและสีดำ เนื้อในเมล็ดสีขาว เนื้อในผลแตงโมมีลักษณะฉ่ำน้ำ รสหวานมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับพันธุ์และการดูแลรักษา

            ประโยชน์และสรรพคุณของแตงโม

            แน่นอนครับ ไม่เพียงแต่แตงโมจะมีรสหวาน และเย็นฉ่ำเท่านั้น ยังมากด้วยสารอาหาร และประโยชน์ในด้านต่างๆให้แก่ร่างกายด้วย อาทิ แคลเซียม, ฟอสฟอรัส, เหล็ก, โปแตสเซียม, และวิตามินต่างๆ โดยเฉพาะ วิตามินเอ จะมีมากในเนื้อแตงโมพันธุ์ที่มีเนื้อสีแดง สำหรับเพื่อนๆที่ชื่นชอบในการดื่มน้ำผลไม้ แตงโมก็เป็นผลไม้อีกหนึ่งอย่าง ที่จะช่วงแก้กระหายน้ำ หรือว่าลดอาการอ่อนเพลีย เพิ่มความกระชุ่มกระชวยได้ด้วย

แตงโมยังมีสรรพคุณที่สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อ เพราะจากการดื่มน้ำแตงโมจะช่วยเพิ่มเบต้าแคโรทีน ซึ่งร่างกายสามารถใช้ในการสร้างวิตามินเอ และการมีวิตามินเอมากๆ ก็จะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ แตงโมยังเป็นผลไม้ที่มี citrulline อยู่มาก สารตัวนี้จะไปช่วยในการรักษาแผลให้หายเร็วขึ้น ในการรับประทานแตงโม ไม่ใช่แค่ว่าจะดื่มน้ำแตงโมอย่างเดียว เราควรกินเนื้อของแตงโมเข้าไปด้วย โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นเนื้อสีขาวที่อยู่ลึกลงไป แม้รสชาติจะไม่ค่อยหวานซักเท่าไหร่ แต่กลับมีประโยชน์มากมายเลยทีเดียว


                     วิธีการเลือกซื้อแตงโม

  • ควรเลือกแตงโมที่ลักษณะ เปลือกผิวเรียบ ไม่เป็นรอยบุบ หรือช้ำ
  • ลองดีดแตงโมจะได้ยินเสียงที่แน่น แปลว่าเนื้อในกรอบ
  • สังเกตุที่ขั้วแตงโมจะไม่แห้งมากสีคล้ายคลึงกับผิวแตงโม
  • ถ้าเขาผ่าแตงโมให้ดู ควรเลือกที่มีสีแดงเป็นธรรมชาติไม่สดมาก เพราะถ้าสีแดงสดมากใช้สารเร่งสีเยอะ


กล้วย



กล้วยมีฤทธิ์ป้องกันและรักษาแผลในกระเพาะอาหาร   แป้งจากผลกล้วยป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารหนูขาวเนื่องจากแอสไพริน indemethacin, phenylbutazone, prednisolone และ cyscamine และป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารหนูตะเภาเนื่องผลกล้วยหอมดิบขนาด 7 ก./ตัว/วัน มีฤทธิ์รักษาแผลในกระเพาะอาหารที่เกิดขึ้นจาก indomethacin 20 มก./กก.  ส่วนกล้วยน้ำว้าดิบไม่มีฤทธิ์  เมื่อทดลองสกัดสารออกฤทธิ์ด้วยอัลกอฮอล์ 60% พบว่าสารสกัดจากกล้วยหอมและกล้วยพาโลดิบ ขนาด 0.5 และ 1 ก./กก. มีฤทธิ์ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารที่เกิดจาก indomethacin และรักษาแผลเรื้อรังที่เกิดจากกรดอะซิติค แต่มีฤทธิ์ต่ำ   ความยาวเฉลี่ยของแผลในกระเพาะอาหารหนูขาวที่กินสารสกัดจากกล้วยพาโลและกล้วยหอมในขนาด 1 ก./กก./วัน นาน 3 วัน ก่อนที่จะเกิดแผลเนื่องจาก indomethacin เท่ากับ 4.47 ±1.2 และ 1.87 ± 0.44 มม. ตามลำดับ (กลุ่มควบคุม 14.56 ±2.43 มม.)  และสารสกัดจากกล้วยหอมเท่านั้นที่มีผลในการรักษาแผลเรื้อรังที่เกิดจาก indomethacin แต่มีฤทธิ์ต่ำ  และกล้วยทั้ง 2 ชนิดให้ผลคล้ายกันในการรักษาแผลที่เกิดจากกรด  

                                             

  
สารแขวนลอยจากผลกล้วย sweet banana ดิบ เมื่อใช้ความเข้มข้นสูงสามารถลดการเกิดแผลในกระเพาะอาหารแบบเฉียบพลันที่เกิดจาก indomethacin เช่นเดียวกับผลของ phosphatidylcholine และเพคตินซึ่งเป็นสารในกล้วย  และในการรักษาแผลในกระเพาะอาหารแบบเรื้อรัง สารแขวนลอยจากกล้วยดิบให้ผลการรักษาไม่สมบูรณ์และออกฤทธิ์ชั่วคราวเท่านั้น
 เมื่อให้หนูขาวกินแป้งจากกล้วยป่าขนาด 1 ก./กก.  พบว่ายับยั้งการเกิดแผลในกระเพาะอาหารที่เกิดจาก indomethacin, เอทานอล และ hypothermic-restraint  69, 44 และ 48% ตามลำดับ   หนูขาวที่กินแอสไพริน แล้วกินผลกล้วยป่าดิบ พบว่าป้องกันไม่ให้เกิดแผลได้ เมื่อกินผงกล้วยดิบขนาด 5 ก. และรักษาแผลที่
เป็นแล้วในขนาด 7 ก.  สารสกัดด้วยน้ำมีฤทธิ์เป็น 300 เท่า ของผงกล้วยดิบ ส่วนกล้วยสุกไม่ให้ผง

       แป้งจากผลกล้วยออกฤทธิ์สมานแผลและเพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อเมือก และเร่งการแบ่งตัวของเซลล์  นอกจากนี้ยังมีผลต่อกระบวนการสร้าง macrophage cell อันส่งผลไปถึงการรักษาแผล จากฮีสตามีน  หนูที่กินกล้วยหักมุกดิบขนาด 5 ก./วัน นาน 2 วัน จะป้องกันการเกิดแผล

ทุเรียน

ทุเรียน

 เรียกได้ว่าเป็น “ราชาผลไม้” เลยก็ว่าได้เพราะความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะในตัวของทุเรียนเอง รูปร่างที่มีหนามโดดเด่น เนื้อทุเรียนภายในเหลืองอร่าม กลิ่น และรสชาติที่หลายๆคนติดใจ

เป็นยาถ่ายชั้นดีแต่โบร่ำโบราณ

จริงๆ แล้วทุเรียนเป็นผลไม้ที่คนโบราณนิยมกินเพื่อเป็นยาถ่ายพยาธิครับ เพราะแต่ก่อนไม่มียาหมอฝรั่งวางขายทั่วไปเหมือนในปัจจุบัน เลยใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านจากการคิดค้นของผู้เฒ่าผู้แก่เอง
โดยใช้ช่วง เวลาตื่นนอนเช้าหน่อยประมาณ ตี 5 ซึ่งเป็นเวลาที่ธาตุต่างๆของเราเริ่มทำงาน หลังจากที่เราล้างหน้า แปรงฟันเสร็จแล้ว ให้ทานทุเรียนประมานครึ่งลูก หรือ 2-3 พู ใหญ่ และดื่มน้ำอุ่นๆตามหลังจากที่ทานเสร็จ จากนั้นงดอาหารเช้า 2 วันเลยครับ   เส้นใยและความร้อนจากสารกำมะถันในทุเรียนจะไปชะล้างพยาธิและสิ่งสกปรก ต่างๆ ในลำไส้ออกมาจนหมด ทำให้คุณผอมลง ร่างกายแข็งแรงสดชื่นด้วย
อันนี้เป็นเคล็ดลับจากคนโบราณนะครับ นานๆทำทีก็ได้ครับ ถ่ายพยาธิแบบธรรมชาติ ^^
   
                                           

 ประโยชน์ตั้งแต่ผลทุเรียนจนถึงลำต้น

เนื้อ: เนื้อทุเรียนมีกำมะถันเป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ร้อน แต่ความร้อนนี้ล่ะจะช่วยแก้โรคผิวหนังได้ ทำให้ฝีหนองแห้งเร็ว และมีฤทธิ์ขับพยาธิได้ด้วย
เปลือก: ถ้าเอาเปลือกแหลมๆ ไปสับแช่ในน้ำปูนใส แล้วเอามาล้างแผลพุพอง แผลน้ำเหลืองเสีย แผลจะหายเร็ว หรือถ้าหากมีเด็กในบ้านเป็นคางทูม คนสมัยก่อนเขาก็จะเอาเปลือกทุเรียนไปเผาแล้วบดเป็นผง เอมาผสมกับน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าว แล้วเอามาพอกที่คาง คางทูมก็จะยุบ
ใบทุเรียน: เอาใบทุเรียนไปต้มกับน้ำแล้วเอาน้ำนั้นมาอาบ ความร้อนจะช่วย ให้หายไข้และโรคดีซ่านได้
ราก:ตัดเป็นข้อๆ ใส่หม้อต้มให้เดือด นำมาดื่มบรรเทาอาการไข้และรักษาอาการท้องร่วงได้ดี


  
นำ เนื้อทุเรียนสุกพอห่ามๆ ไม่ต้องสุกมาก มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ สักกำมือหนึ่ง ปั่นหรือบดก็ได้ครับ รวมกับดินสอพอง 1/4 ช้อนโต๊ะ จนเป็นเนื้อข้นๆ ทาไปเลยทั่วผิว เว้นรอบดวงตาและปาก หรือบริเวณที่เป็นสิว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จึงล้างออก ธาตุกำมะถันในทุเรียนจะทำให้สิวแห้งเร็วขึ้น
งานนี้ รับรองว่าถ้ากินไม่หมดเพราะว่าซื้อมาเยอะก็ยังเอามาทำเป็นยาบำรุงผิว รักษาสิวได้อีก สรรพคุณดีๆอย่างนี้แล้วใครที่ไม่ชอบทานก็ลองหันมาลองทำยารักษาบำรุงผิวพรรณ ดูได้นะครับ

ผลไม้ไทย

                     ประเทศไทยเป็นแผ่นดินที่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ เป็นดินแดนที่มีพืชพรรณตามธรรมชาติหลากหลายชนิดเหมาะต่อการเพาะปลูกและทำเกษตรกรรม มีสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกันทำให้เกิดความหลากหลายในการกระจายของผลผลิตไม้เมืองร้อนออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี พื้นที่ปลูกไม้ผลตามภาคต่างๆ ของประเทศไทยมีกว่า 9.68 ล้านไร่

        
        ผลไม้ไทยนับเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทยสามารถทำรายได้เข้าประเทศไทยปีละหลายล้านบาทและเป็นที่นิยมบริโภคกันทั่วไป ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ไม้ผลที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและมีมูลค่าการส่งออกสูงเป็นที่นิยมบริโภคในต่างประเทศจำนวน 10 ชนิด ได้แก่ ลำไย ทุเรียน มังคุด ลิ้นจี่ มะม่วง ส้มโอ เงาะ สับปะรด มะพร้าวน้ำหอม มะขาม เป็นต้น และไม้ผลที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจในอนาคตหรือเป็นไม้ผลท้องถิ่นหรือพื้นเมือง มีการบริโภคภายในประเทศมากกว่าการส่งออก ได้แก่ กระท้อน ชมพู่ น้อยหน่า พุทรา มะปราง ฝรั่ง ลองกอง ลางสาด สละ ขนุน มะนาว องุ่นและกล้วย เป็นต้น