วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2557

มะม่วง

มะม่วง ภาษาอังกฤษ : Mango จัดเป็นไม้ยืนต้นที่มีต้นกำเนิดในประเทศอินเดีย และถือว่าเป็นผลไม้ประจำชาติของประเทศอินเดียอีกด้วย มะม่วง ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Mangifera indica มะม่วงในบ้านเรานั้นจัดเป็นผลไม้เศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งส่งประเทศไทยส่งออกมะม่วงเป็นอันดับ 3 ของโลก
สำหรับพันธุ์มะม่วงนั้นมีหลากหลายสายพันธุ์มาก โดยสายพันธุ์ที่แพร่หลายมากที่สุดเห็นจะเป็น พันธุ์เขียวเสวย แรด น้ำดอกไม้ อกร่อง ฟ้าลั่น โชคอนันต์ เป็นต้น ซึ่งแต่ละสายพันธุ์นั้นก็จะมีรสชาติและลักษณะแตกต่างกันออกไป
ประโยชน์ของมะม่วง ที่เราเห็นเป็นประจำก็คงจะไม่พ้นการนำมารับประทานเป็นผลไม้สดทั้งดิบและสุก หรือมีการไปทำเป็นอาหารว่างต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น มะม่วงกวน มะม่วงแก้ว มะม่วงแช่อิ่ม มะม่วงน้ำปลาหวาน ข้าวเหนียวมะม่วง พายมะม่วง และนำไปใช้ประกอบอาหาร เช่น ใส่น้ำพริก ยำ ส้มตำ ส่วนยอดอ่อนหรือผลอ่อนก็สามารถนำมาประกอบอาหารแทนผักได้ด้วย เป็นต้น

สำหรับข้าวเหนียวมะม่วงนั้นจะมีแคลอรี่สูงเพราะประกอบไปด้วยน้ำตาลไขมันจากกะทิเป็นหลัก ผู้ที่อยู่ในวัยหนุ่มสาวมีสุขภาพดีการรับประทานข้าวเหนียวมะม่วงจึงไม่น่าจะมีปัญหากับสุขภาพ แต่สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวอย่างเบาหวาน การรับประทานข้าวเหนียวมะม่วงอาจจะไปทำให้น้ำตาลและไขมันเพิ่มมากขึ้น ซึ่งผลที่ตามมาก็คือ น้ำหนักตัวเพิ่ม ความดันสูง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะห้ามรับประทานเสียทีเดียว แต่การรับประทานก็ควรรับประทานอย่างระวัง และพิจารณารับประทานให้พอดีกับสุขภาพก็จะเกิดประโยชน์สูงสุด

มังคุด


มังคุด
 เป็นไม้ผลยืนต้นขนาดใหญ่ ชอบอากาศร้อนชื้น อุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ในช่วง 25-30 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์สูงประมาณ 75-85% ดินควรมีค่าความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) ประมาณ 5.5-6.5 และที่สำคัญควรเลือกพื้นที่ปลูกที่มีน้ำเพียงพอตลอดช่วงฤดูแล้ง มังคุดจะให้ผลผลิตประมาณปีที่ 7 หลังปลูก แต่ผลผลิตต่อต้นในระยะแรกจะต่ำ ช่วงที่ให้ผลผลิตดีประมาณ 13 ปีขึ้นไป โดยเฉลี่ย 60กิโลกรัม/ต้น (น้ำหนักผลเฉลี่ย 80 กรัม/ผล) มังคุดเป็นไม้ผลที่มีระบบรากหาอาหารค่อนข้างลึก ประมาณ 90-120 เซนติเมตร จากผิวดิน ดังนั้นจึงต้องการสภาพแล้งก่อนออกดอกค่อนข้างนาน โดยต้นมังคุดที่สมบูรณ์ใบยอดมีอายุระหว่าง 9-12สัปดาห์เมื่อผ่านช่วงแล้งติดต่อกัน 21-30 วัน และมีการกระตุ้นน้ำถูกวิธีมังคุดจะออกดอก ช่วงพัฒนาการของดอก (ผลิตาดอก – ดอกบาน) ประมาณ 30 วันช่วงพัฒนาของผล (ดอกบาน – เก็บเกี่ยว) ประมาณ 11-12 สัปดาห์ ระยะเก็บเกี่ยวที่เหมาะสมคือ เริ่มมีสายเลือดได้ 1-2 วัน ผลมังคุดที่มีสีม่วงแดงเก็บรักษาที่อุณหภูมิ10-13 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 90-95% เก็บรักษาได้นานประมาณ 2-4 สัปดาห์ ฤดูกาลผลผลิตของภาคตะวันออกอยู่ในช่วงเดือน พฤษภาคม – มิถุนายน ภาคใต้อยู่ในช่วงเดือน กรกฎาคม – กันยายน

มังคุดเป็นไม้ยืนต้น ลำต้นสูง 7-25 เมตร ใบเดี่ยวรูปรี ดอกออกเป็นคู่ที่ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ผลแก่เต็มที่มีสีม่วงแดง กลีบเลี้ยงสีเขียวอมเหลืองติดอยู่จนเป็นผล ผลมีเปลือกนอกค่อนข้างแข็ง เนื้อในมีสีขาวฉ่ำน้ำ อาจมีเมล็ดอยู่ในเนื้อผลได้ ขึ้นอยู่กับขนาดและอายุของผล จำนวนกลีบของเนื้อจะเท่ากับจำนวนกลีบดอกที่อยู่ด้านล่างของเปลือก ผลมังคุดมีรสชาติหวานอมเปรี้ยวเหมือนสตรอเบอรี่ที่ยังไม่สุกหรือส้มที่มีรสหวาน เมล็ดไม่สามารถใช้รับประทานได้ มังคุดเป็นผลไม้จากเอเชียที่ได้รับความนิยมมาก มังคุดได้รับขนานนามว่าเป็น "ราชินีของผลไม้"อาจเป็นเพราะด้วยลักษณะภายนอกของผลที่มีกลีบเลี้ยงติด อยู่ที่หัวขั้วของผลคล้ายมงกุฎของพระราชินีส่วนเนื้อในก็มีสีขาวสะอาด มีรสชาติที่แสนหวาน อร่อยอย่างยากที่จะหาผลไม้อื่นมาเทียบได้ ปัจจุบันมีการเพาะปลูกและขายบนเกาะบางเกาะในหมู่เกาะฮาวาย ต้นมังคุดต้องปลูกในสภาพอากาศอบอุ่น

ส้ม

ส้ม เป็นผลไม้นางเอก มีสารไฟโตนิวเทรียนต์มาก ซึ่งทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงสารกลุ่มฟลาวาโนนส์ สารแอนโธไชยานินส์ สารโพลีฟีนอลส์ และวิตามินซี ที่ช่วยทำให้ผิวสวยกระจ่างใส .. ส้ม มีคอลลาเจน ช่วยซ่อมแซมส่วนสึกหรอของร่างกาย ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น ไม่แห้งแตก และช่วยสมานแผลหลังผ่าตัด แผลไฟไหม้ ให้หายเร็ว และแผลเรียบเนียนขึ้น
  ให้แคลเซียมและวิตามินดี แก่ร่างกาย มากพอๆ กับนม และแคลเซียมจะไปเสริมสร้างกระดูก แต่ถ้าไม่มีวิตามินดี ร่างกายจะไม่สามารถดูดซึมแคลเซียมจากอาหารได้ นอกจากนี้ส้มยังมีวิตามินซี ซึ่งจะช่วยเพิ่มกระบวนการดังกล่าวอีกด้วย แต่พึงเข้าใจด้วยว่า กรดอะซีติกในส้ม อาจทำลายสารเคลือบฟันได้ จึงไม่ควรแปรงฟันภายในหนึ่งชั่วโมงหลังจากทานส้มหรือดื่มน้ำส้ม
 มีสารฟลาโวนอยด์ ช่วยป้องกันการอักเสบ ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และป้องกันเลือดจับตัวเป็นก้อน ยิ่งไปกว่านั้นส้มยังช่วยป้องกันและรักษาเลือดออกตามไรฟัน และมีคุณสมบัติช่วยล้างพิษในร่างกาย
เปลือกของส้ม มีสารมหัศจรรย์อยู่มากมาย และหนึ่งในนั้นคือการ Polymethoxylated Flavones (PMFs) และสาร D-Limonene ซึ่งช่วยลดคอเลสเตอรอล ปรับระดับน้ำตาลในเลือด และกระตุ้นการกรองสารพิษของตับ นอกจากนี้จากการศึกษายังชี้ว่า เม็ดสีในส้มเขียวหวานจะช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) โดยไม่ส่งผลต่อคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL)
ตำรับจีนมักเสิร์ฟเปลือกส้ม คู่กับอาหารเนื้อสัตว์ เพื่อย่อยอาหารที่มีไขมันสูง บางตำราแนะนำให้เริ่มวันใหม่ด้วยน้ำเลมอน 12 ออนซ์ ผสมกับน้ำกรองแล้วที่อุณหภูมิห้อง จะช่วยชะล้างของเสียในระบบย่อยอาหารและลำไส้ได้ เพราะมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ
อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งจะช่วยปกป้องแก้วตาจากโรคต้อกระจก และจากการศึกษายังพบว่า การบริโภควิตามินอีและซีในปริมาณมาก จะช่วยป้องกันโรคต้อกระจกได้ แม้แต่ในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคนี้สูง
 จะทานก็ได้ จะดมผิวก็ได้ เพราะส้มมีสารโฟเลตซึ่งช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนซีโรโทนิน อันเป็นสารแห่งความสุข กลิ่นของผลไม้ตระกูลส้มสามารถทำให้เบิกบานได้

ข้อมูลเพิ่มเติม

สำหรับพ่อแม่ที่อยากให้ลูกน้อยดื่มน้ำส้มคั้น จะให้ดื่มได้ ต้องหลัง 6 เดือน เพราะเป็นช่วงที่สามารถให้อาหารเสริมได้ แต่ควรผสมน้ำส้มในน้ำ ในปริมาณครึ่งต่อครึ่ง การให้น้ำส้มที่มีรสชาติเข้มข้นโดยไม่ผสมอะไรเลยอาจทำให้เกิดการระคายเคืองในระบบดูดซึมของลูกได้ พอลูกโตขึ้นจึงค่อยๆ ลดปริมาณน้ำลง จนถึงอายุ 5 ขวบจึงสามารถให้น้ำส้มอย่างเดียวโดยไม่ต้องผสมน้ำ อนึ่ง เนื่องจากน้ำส้มมีรสหวานมาก การผสมน้ำ ยังเป็นข้อดีที่ช่วยให้ลูกน้อยไม่ติดหวานตั้งแต่เล็ก
     ผู้ที่เป็นโรคไตและเบาหวาน หากต้องการจะทานส้ม ควรทานด้วยความระมัดระวัง เพราะส้มเป็นผลไม้ที่ให้โปแตสเซียมและน้ำตาลสูง ควรทานเป็นผลซึ่งมีกากใย จะดีกว่าดื่มน้ำส้มคั้น เพราะน้ำส้มคั้น 1 แก้วต้องใช้ส้มมาคั้นหลายผล ไม่มีกากใย และบางเจ้าจะเติมรสหวานเพิ่มเติม

มะไฟ

ะไฟ จัดเป็นพืชพื้นเมืองของอินโดนีเซีย โดยปลูกกันแพร่หลายในอินเดียและมาเลเซีย และยังพบได้ทั่วไปตามในแถบเอเชีย มะไฟเป็นไม้ยืนต้น มีผลออกเป็นช่อ ผลอ่อนของมะไฟมีขนคล้ายกำมะหยี่ ถ้าผลแก่ผิวจะเกลี้ยง มีเปลือกสีเหลือง เนื้อมีสีขาวหรือขาวใสอมชมพู แล้วแต่สายพันธุ์ที่ปลูก ส่วนเมล็ดจะแบนและมีสีน้ำตาล พันธุ์ที่นิยมปลูกทั่วไปได้แก่ พันธุ์เหรียญทอง (ผลใหญ่ ก้นเรียบ มีเนื้อสีขาว), พันธุ์ไข่เต่า (ผลกลมรี ก้นแหลม เนื้อขาวอมชมพู หวานอมเปรี้ยวมากกว่าพันธุ์เหรียญทอง) และอีกสายพันธุ์คือมะไฟสีม่วง โดยเปลือกจะมีสีม่วง (ประเทศจีน)
ผลมะไฟสุก จะมีรสเปรี้ยวอมหวาน และมีกรดอินทรีย์อยู่หลายชนิด รวมไปถึง วิตามินซี น้ำตาและอื่นๆ ที่เป็นเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย นิยมใช้รับประทานเป็นผลไม้สดๆ หรือจะนำมาใช้ทำเป็นน้ำผลไม้ก็ได้ นอกจากผลของมะไฟที่มีประโยชน์แล้ว ส่วนอื่นๆของมะไฟก็ยังมีประโยชน์อีกด้วย เช่น ใบของมะไฟ และรากสด-แห้ง ต่างก็มีประโยชน์เช่นกัน โดยมีสรรพคุณในการรักษาโรคและอาการต่างๆได้

สัปะรส

สับปะรด เป็นผลไม้ธรรมดาๆ ที่เราสามารถหาซื้อรับประทานได้ง่าย เนื่องจากออกผลตลอดทั้งปีไม่ต้องรอตามฤดูกาล หากรับประทานสดๆ ก็ทำให้เย็นฉ่ำดับร้อนได้ หรือคุณแม่บ้านบางคนนิยมนำไปปรุงอาหารก็ให้รสชาติที่ดีทีเดียว นอกจากนี้คุณผู้อ่านทราบหรือไม่ว่าสับปะรดยังมีคุณประโยชน์อีกมากมายที่เราไม่ควรมองข้าม คุณปฏิมา พรพจมาน นักกำหนดอาหาร โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ให้ความรู้ว่า ในสับปะรดมีสารอาหาร ที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายหลายชนิด โดยสารอาหารที่มีมาก ก็ได้แก่ แมงกานีสและวิตามินซี ซึ่งแมงกานีสเป็นเกลือแร่ตัวหนึ่งที่ร่างกายต้องการและขาดไม่ได้ เนื่องจากช่วยในการสร้างการเจริญเติบโตของร่างกายและควบคุมการทำงานของเอนไซม์หลายชนิด รวมทั้งการเผาผลาญโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมันให้เป็นพลังงานของร่างกาย ส่วนวิตามินซีช่วยในการสร้างภูมิคุ้มกัน เนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถป้องกันโรคหัวใจ ความดันและโรคเหงือกได้ นอกจากนี้ยังมีสารตัวหนึ่งชื่อโบรมิเลน” (Bromelain) ซึ่งพบเยอะมากในสับปะรด ช่วยในการย่อยโปรตีนในเนื้อสัตว์ คุณแม่บ้านจึงนิยมนำมาหมักเนื้อสัตว์ซึ่งจะทำให้เนื้อนุ่มน่ารับประทาน และยังเป็นสารที่ช่วยลดอาการอักเสบต่างๆ ให้ร่างกายอีกด้วย ส่วนวิตามินบี และวิตามินบี ซึ่งมีอยู่ในสับปะรดจำนวนไม่มาก แต่ก็มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น วิตามินบี ช่วยในเรื่องของการป้องกันอาการเหน็บชา เหนื่อยง่าย และวิตามินบี ช่วยให้การทำงานของระบบประสาท และเม็ดเลือด หากร่างกายขาดจะลดการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ช่วยป้องกันโรค ทั้งนี้สับปะรดเป็นผลไม้ที่ช่วยดับความร้อนยังมีสรรพคุณทางยาในการช่วยขับปัสสาวะอ่อนๆ และมีกากใยอาหารที่ช่วยในเรื่องของระบบขับถ่าย อย่างไรก็ตามหากเรารับประทานสับปะรดเพียงอย่างเดียวโดยไม่ดูแลสุขภาพและไม่ออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย คุณค่าจากสับปะรดก็จะไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราเลย ที่สำคัญการบริโภคสับปะรดไม่ใช่จะมีเฉพาะประโยชน์อย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีข้อเสียด้วยเพราะ สับปะรดดิบมีฤทธิ์เป็นยาถ่ายอย่างแรง ถ้าเราบริโภคในปริมาณที่มากจนเกินไปอาจส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพร่างกายได้

มะเฟือง

มะเฟือง (Star Fruit) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Averrhoa Carambola หรือทางภาคใต้จะเรียกมะเฟืองว่า “เฟือง” เฉยๆ โดยผลไม้ชนิดนี้เป็นที่นิยมมากในแถบเอเชียตะวันออกรวมถึงบ้านเราด้วย ซึ่งผลไม้ชนิดนี้มีลักษณะเป็นทรงกระสวย เมื่อหั่นเป็นแนวขวางจะเป็นรูปเหมือนดาวห้าแฉก สีผลเป็นสีเขียว เมื่อสุกจะเป็นสีเหลือง ส่วน เรื่องรสชาติจะออกเปรี้ยวแบบเผื่อนๆ โดยมีทั้งรสเปรี้ยวและหวานทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละสายพันธุ์ โดนผลมะเฟืองสุกนั้นประกอบไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุอยู่หลายชนิด
โดยประโยชน์ของมะเฟืองในผลมะเฟืองสุกน้ำหนัก 100 กรัม จะอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรตถึง 6.7 กรัม โปรตีน 1 กรัม ธาตุโพแทสเซียม133 mg. วิตามินซี 35 mg. ธาตุฟอสฟอรัส 12 mg. ตามลำดับและนอกจากนี้ยังประกอบไปด้วย วิตามินบี5 วิตามินบี9 (หรือกรดโฟลิก)ธาตุสังกะสี และ ไขมัน อีกด้วย สำหรับผู้ที่รับประทานยาลดไขมัน ยาคลายเครียดอยู่ไม่ควรรับประทานมะเฟือง เนื่องจากมะเฟืองมีฤทธิ์ไปต่อต้านการทำงานของตัวยา และผู้ป่วยที่เป็นโรคไตหรือกำลังจะฟอกไต ก็ไม่ควรรับประทานมะเฟือง เพราะมะเฟืองมีกรดออกซาลิกสูงซึ่งอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงหรือทำให้อาการทรุดหนักเพิ่มมากขึ้นได้

ลำไย

ลำไย ถือเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าอย่างมหัศจรรย์ไม่เพียงแต่อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการจากสารอาหาร ที่จำ เป็นต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นวิตามิน เกลือแร่ และแร่ธาตุอีกหลายชนิดที่ดีและมีประโยชน์ต่อสุขภาพเท่านั้น ลำไยยังมี ีคุณค่าทางการแพทย์และเภสัชอีกด้วย
           ในทางการแพทย์แผนโบราณของจีนนั้น ได้นำลำไยโดยเฉพาะลำไยแห้งซึ่งมีสรรพคุณ ใช้บำรุงหัวใจ บำรุงเลือด บำรุงประสาทตา บำรุงผิวพรรณ ช่วยย่อยอาหาร แก้อาการเครียด กระวนกระวาย นอนไม่หลับ เป็นต้น มาเป็นส่วนผสมในตัวยาด้วย
         สำหรับในประเทศไทยจากผลการวิจัยลำไยแห้งของทีมวิจัย จากคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ข้อมูลวิทยาศาสตร์ยืนยันสรรพคุณประโยชน์ ของลำไยในทางการแพทย์และเภสัชวิทยาทั้งยังเตรียม สารสกัด มาตรฐาน จากลำไยแห้งที่มีสรรพคุณทางการแพทย์และเภสัชอย่างน่าสนใจ
           ได้แก่สารออกฤทธิ์เหนี่ยวนำเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่และเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวให้ตายแบบอะพอพโตซิส สารที่ยับยั้งความเป็นพิษของสารก่อมะเร็งทางเดินอาหาร สารที่ออกฤทธิ์ลดการเสื่อมสลายของข้อเข่า
         ผลการวิจัยล่าสุดได้พบว่า ลำไยแห้งสามารถออกฤทธิ์ทำลาย และต่อต้านอนุมูลอิสระได้อย่างมีประสิทธิ ภาพ ทั้งยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีผิวเมลานิน ได้ดีกว่าสารเคมีที่ใช้ในเครื่องสำอางปัจจุบัน
         ลำไยเป็นไม้ผลเศรษฐกิจสำคัญที่รัฐบาลจัดให้อยู่ในกลุ่ม สินค้าเพื่อการส่งออก มูลค่าการส่งออกสูงปีละ หลาย พันล้านบาท ทั้งในรูปลำไยสด อบแห้ง แช่แข็ง และลำไยกระป๋อง
           องค์ประกอบหลักของเนื้อลำไยคือ Soluble Substances 79-77%  ซึ่งประกอบด้วย กลูโคส 26.91% ซูโครส 0.22% กรดทาทาริค 1.26% สารประกอบไนโตรเจน 6.31% โปรตีน 5.6% ไขมัน 0.5% และธาตุอาหารอื่น ๆ เช่น Ca, Fe, P, Na, K และวิตามิน
- เปลือกของต้นมีสีน้ำตาลอ่อนหรือเทา และมีรสฝาด ใช้ต้มเป็นยาหม้อแก้ท้องร่วง
- ลำต้นมีขนาดใหญ่ สูงประมาณ ๓๐-๔๐ ฟุต เนื้อไม้มีสีแดงและแข็ง สามารถใช้ทำเครื่องใช้ประดับบ้านได้
- ผลลำไย มีเปลือกสีน้ำตาลอมเขียว ภายในมีเนื้อขาวอมชมพูขาวอมเหลืองแล้วแต่สายพันธุ์ เนื้อลำไยสามารถบริโภคสด บรรจุกระป๋อง ตากแห้ง สามารถทำเป็นชาชงใช้ดื่ม เป็นยาบำรุงกำลัง ช่วยให้หลับสบาย เจริญอาหาร
- ผลลำไยแห้งมักใช้ในอาหารและยาสมุนไพรของจีน เพราะเชื่อว่ามีคุณสมบัติช่วยบำรุงกำลัง

กระท้อน

ผลกระท้อน รูปทรงกลมแป้น ผิวมีขนคล้ายกำมะหยี่อ่อนนุ่ม ผลอ่อนจะมีสีเขียวมีน้ำยางสีขาว เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและมีน้ำยางที่น้อยลง ผลกระท้อน มีขนาดประมาณ 5-15 เซนติเมตร ภายในมีเมล็ด 4-5 เมล็ดและมีปุยสีขาวๆหุ้มเมล็ดอยู่ และเมล็ดมีรูปรีมีปลอกเหนียวห่อหุ้มอยู่

สายพันธุ์กระท้อน สำหรับสายพันธุ์ของกระท้อนที่ได้รับความนิยมนั้นเป็นพันธุ์กระท้อนห่อที่มีรสหวาน ได้แก่ สายพันธุ์อีล่า ปุยฝ้าย ทับทิม อินทรชิต นิ่มนวล ขันทอง เทพรส อีแดง ส่วนพันธุ์พื้นเมืองนั้นจะมีรสเปรี้ยว ผลดกแต่มีขนาดเล็ก จึงนิยมนำมาทำเป็น กระท้อนทรงเครื่อง กระท้อนดอง เป็นผลไม้ที่มีธาตุโพแทสเซียมสูง จึงไม่ค่อยเหมาะนักสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคไต เพราะผู้ป่วยบางรายอาจจะมีภาวะโพแทสเซียมสูงอยู่แล้ว จึงต้องควบคุมการรับประทานโพแทสเซียมเป็นพิเศษ และสำหรับบุคคลทั่วไปที่ไม่ได้เป็นโรคไตก็ไม่ควรประมาท เนื่องจากมีการตรวจพบว่ากระท้อนก็มีสารฟอกขาว (สารโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์) ปนเปื้อนได้เช่นกัน ซึ่งหากได้รับเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมากจะเกิดอาการอักเสบตามอวัยที่สัมผัส เช่น ปากและกระเพาะอาหาร รวมไปถึงมีอาการแน่นหน้าอก ปวดท้อง อาเจียนอีกด้วยกระท้อน

วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ชมพู่

ชมพู่     เป็นไม้ผลเขตร้อนที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย คนไทยนิยมปลูกตามบ้านและกินกันมานาน ผลชมพู่โดยส่วนใหญ่จะมีรูปร่างคล้ายสามเหลี่ยมฐานกว้างคือ ผลครึ่งบนด้านขั้วจะค่อนข้างเล็ก แล้วค่อยใหญ่ไปทางก้นผล มีกลีบเลี้ยงติดอยู่ตรงปลาย เมื่อผ่าครึ่งตามยาวจะมีลักษณะคล้ายจมูกคน ชมพู่มีหลากหลายพันธุ์ ทั้งพันธุ์ดั้งเดิมที่ปัจจุบันหาดูและหากินได้ยาก อย่างพันธุ์น้ำดอกไม้ สาแหรก มะเหมี่ยว หรือพันธุ์ที่มีการปรับปรุงพันธุ์เพื่อการค้า เช่น เพชรสายรุ้ง เพชรสามพราน เพชรน้ำผึ้ง ทูลเกล้า
ในผลชมพู่สดมีเส้นใยอาหารทั้งชนิดที่สามารถละลายน้ำและไม่สามารถละลายน้ำ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบขับถ่าย ช่วยลดและควบคุมคอเลสเตอรอลในร่างกาย ลดความเสี่ยงโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด ป้องกันโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ มีวิตามินเอช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับสายตาและบำรุงรักษาเซลล์ประสาทตา วิตามินซีช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ชมพู่ยังเป็นหนึ่งในผลไม้ไม่กี่ชนิดที่มีไลโคพีน (Lycopiene) รงควัตถุสีแดงที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ





        ตามตำรายาโบราณใช้เนื้อชมพู่มาทำแห้งแล้วบดเก็บไว้กินเป็นยาบำรุงร่างกาย เมล็ดที่เราทิ้งไปไม่เห็นค่า ใช้เป็นยาแก้ท้องเสีย แก้โรคเบาหวาน แม้แต่ใบก็ใช้เป็นยาลดไข้ แก้ตาเจ็บได้

ด้วยผลชมพู่มีเปลือกบางและนุ่มและเนื้อนิ่ม จึงจำเป็นต้องห่อผลด้วยกระดาษหรือถุงพลาสติกตั้งแต่ผลเล็ก ๆ เพื่อป้องกันแมลงเจาะทำลายและช่วยให้ผิวชมพู่สวย ผู้บริโภคควรเลือกซื้อผลที่ไม่มีรอยซ้ำ ถลอกหรือรอยหนอนเจาะ และเนื่องจากเนื้อชมพู่ช้ำง่าย บวกกับอายุการเก็บรักษาค่อนข้างสั้น ผลผลิตส่วนใหญ่จึงจำหน่ายภายในประเทศ ไม่เหมาะกับการส่งออก แต่ก็มีการส่งไปยังประเทศใกล้ ๆ อย่างฮ่องกง สิงคโปร์ อินโดนีเซียอยู่บ้าง

วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ฝรั่ง

ฝรั่ง . จัดเป็นผลไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในแถบอเมริกากลางและในหมู่เกาะอินดีสต์ตะวันตก และคาดว่ามีการนำเข้ามาในประเทศไทยในช่วงสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยสายพันธุ์ในบ้านเราที่นิยมนำมารับประทานสดๆ ก็ได้แก่ฝรั่งกิมจู ฝรั่งเวียดนาม ฝรั่งแป้นสีทอง ฝรั่งไร้เมล็ด ฝรั่งกลมสาลี่ เป็นต้น

ฝรั่งเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด โดยจัดเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงที่สุดในบรรดาผลไม้ทุกชนิด ในฝรั่งน้ำหนัก 165 กรัม จะให้วิตามินสูงถึง 377 มิลลิกรัม ! มีวิตามินซี  สูงกว่าส้ม ถึง 5 เท่า !

ฝรั่ง เป็นผลไม้เพื่อสุขภาพที่เหมาะมากสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน ลดน้ำหนัก หรือผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากฝรั่งอุดมไปด้วยกากใยอาหาร เมื่อรับประทานแล้วจะทำให้อิ่มนาน ช่วยกำจัดท้องร้องอาการหิวที่คอยมากวนใจ เพราะกากใยจะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ช่วยปรับระดับการใช้อินซูลินของร่างกายให้เหมาะสม และกากใยยังช่วยล้างพิษโดยรวบได้อีกด้วย จึงส่งผลทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งสดใส

คำแนะนำ :   การรับประทานฝรั่งไม่ควรจะปอกเปลือกทั้งนี้เพื่อคงคุณค่าของสารอาหาร และไม่ควรรับประทานมากจนเกินไป ถ้าเป็นไปได้ไม่ควนรับประทานร่วมกับพริกเกลือน้ำตาลหรืออื่นๆ เพราะนอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้วยังทำให้เราอ้วนขึ้นอีกด้วย

มะขาม

มะขาม              ผลไม้เขตร้อน มะขาม ภาษาอังกฤษ คือ Tamarind ส่วนมะขามชื่อวิทยา ศาสตร์จะใช้คำว่า Tamarindus indica Linn. มะขาม มีต้นดำเนิดในทวีฟแอฟริกา ต่อมามีการนำเข้ามาปลูกในแถบเอเชียรวมทั้งไทยด้วย โดยยังเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดเพชรบูรณ์เมืองมะขามหวานด้วย และตามตำราพรหมชาติ ถือว่ามะขามเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่ง ที่ช่วยป้องกันสิ่งเลวร้าย ผีร้ายต่างๆไม่ให้มากล้ำกลาย อีกทั้งยังเป็นต้นไม้ที่มีชื่อมลคล ถือกันเป็นเคล็ดทำให้มีคนเกรงขาม




สำหรับประโยชน์ของมะขามและสรรพคุณมะขามนั้นมีมากมาย และจัดว่าเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและยังมีสรรพคุณใช้เป็นยารักษาโรคอีกด้วย โดยในส่วนที่นำมาใช้เป็นยาจะเป็นเนื้อฝักแก่(มะขามเปียก) เปลือกของลำต้น(ทั้งสดและแห้ง) และเนื้อในเมล็ด โดยสามารถช่วยรักษาได้หลายโรค เช่น เป็นยาขับเสมหะ แก้อาการท้องเดิน บรรเทาอาการท้องผูก ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ เป็นต้นมะขามยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อย่างวิตามินซี วิตามินบี2 วิตามินเอ ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก โปรตีน คาร์โบไฮเดรต เป็นต้น โดยมะขามที่แก่จัดนั้นเราจะเรียกว่า “มะขามเปียก” โดยมะขามหวาน 100 กรัม จะมีแคลอรี่เท่ากับ 314 แคลอรี่

แตงโม

แตงโม ผลไม้แสนโปรดของใครหลายๆคน ยิ่งช่วงหน้าร้อนแบบนี้ อยากหาแตงโมสักลูกมากินกันให้ชื่นใจ กันเลยก็ว่าได้ ในบ้านเรามีหลายสายพันธุ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น แตงโมจินตหรา แตงโมตอปิโด และแตงโมน้ำผึ้ง(ที่มีเนื้อสีเหลือง)
แตงโมเป็นพืชเป็นพืชในวงศ์ (Cucurbitaceae) เช่นเดียวกับบวบ ฟัก และแตงชนิดต่างๆที่นำเสนอไปแล้ว มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า (Citrullus lanatus Mats. Et Nakai)  ภาษาอังกฤษเรียก Water melon ภาคเหนือเรียก มะเต้า ภาคใต้เรียก แตงจีน


 แตงโมเป็นพืชล้มลุกประเภทเถาเลื้อย โตเร็ว ลักษณะทั่วไปคล้ายแตงชนิดอื่น ๆ แต่ใบมีลักษณะพิเศษกว่าแตงอื่นๆ ที่มักเป็นแผ่นเดียวกันตลอด ใบแตงโมเป็นแฉกๆ แคบๆ ไม่ค่อยเป็นระเบียบ ดอกมี 2 เพศ แยกจากกันบนต้นเดียวกัน กลีบดอกสีเหลืองอ่อน ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่อาจมีสีผิวเขียวอ่อน เขียวแก่ น้ำเงินแก่ เขียวลายขาว ฯลฯ ลักษณะผลมีทั้งกลม รูปไข่ หรือทรงกระบอกยาวหัวท้ายมน ฯลฯ
       มีขนาดตั้งแต่ค่อนข้างเล็กไปจนโตหลายกิโลกรัม สีของเนื้อเมื่ออ่อนสีขาว เมื่อแก่จัดมีทั้งสีขาว เหลือง ชมพูและแดง เมล็ดแบน เปลือกหนากว่าแตงกวา สีเปลือกเมล็ดมีทั้งสีน้ำตาลอ่อนไปถึงเข้าและสีดำ เนื้อในเมล็ดสีขาว เนื้อในผลแตงโมมีลักษณะฉ่ำน้ำ รสหวานมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับพันธุ์และการดูแลรักษา

            ประโยชน์และสรรพคุณของแตงโม

            แน่นอนครับ ไม่เพียงแต่แตงโมจะมีรสหวาน และเย็นฉ่ำเท่านั้น ยังมากด้วยสารอาหาร และประโยชน์ในด้านต่างๆให้แก่ร่างกายด้วย อาทิ แคลเซียม, ฟอสฟอรัส, เหล็ก, โปแตสเซียม, และวิตามินต่างๆ โดยเฉพาะ วิตามินเอ จะมีมากในเนื้อแตงโมพันธุ์ที่มีเนื้อสีแดง สำหรับเพื่อนๆที่ชื่นชอบในการดื่มน้ำผลไม้ แตงโมก็เป็นผลไม้อีกหนึ่งอย่าง ที่จะช่วงแก้กระหายน้ำ หรือว่าลดอาการอ่อนเพลีย เพิ่มความกระชุ่มกระชวยได้ด้วย

แตงโมยังมีสรรพคุณที่สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อ เพราะจากการดื่มน้ำแตงโมจะช่วยเพิ่มเบต้าแคโรทีน ซึ่งร่างกายสามารถใช้ในการสร้างวิตามินเอ และการมีวิตามินเอมากๆ ก็จะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ แตงโมยังเป็นผลไม้ที่มี citrulline อยู่มาก สารตัวนี้จะไปช่วยในการรักษาแผลให้หายเร็วขึ้น ในการรับประทานแตงโม ไม่ใช่แค่ว่าจะดื่มน้ำแตงโมอย่างเดียว เราควรกินเนื้อของแตงโมเข้าไปด้วย โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นเนื้อสีขาวที่อยู่ลึกลงไป แม้รสชาติจะไม่ค่อยหวานซักเท่าไหร่ แต่กลับมีประโยชน์มากมายเลยทีเดียว


                     วิธีการเลือกซื้อแตงโม

  • ควรเลือกแตงโมที่ลักษณะ เปลือกผิวเรียบ ไม่เป็นรอยบุบ หรือช้ำ
  • ลองดีดแตงโมจะได้ยินเสียงที่แน่น แปลว่าเนื้อในกรอบ
  • สังเกตุที่ขั้วแตงโมจะไม่แห้งมากสีคล้ายคลึงกับผิวแตงโม
  • ถ้าเขาผ่าแตงโมให้ดู ควรเลือกที่มีสีแดงเป็นธรรมชาติไม่สดมาก เพราะถ้าสีแดงสดมากใช้สารเร่งสีเยอะ


กล้วย



กล้วยมีฤทธิ์ป้องกันและรักษาแผลในกระเพาะอาหาร   แป้งจากผลกล้วยป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารหนูขาวเนื่องจากแอสไพริน indemethacin, phenylbutazone, prednisolone และ cyscamine และป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารหนูตะเภาเนื่องผลกล้วยหอมดิบขนาด 7 ก./ตัว/วัน มีฤทธิ์รักษาแผลในกระเพาะอาหารที่เกิดขึ้นจาก indomethacin 20 มก./กก.  ส่วนกล้วยน้ำว้าดิบไม่มีฤทธิ์  เมื่อทดลองสกัดสารออกฤทธิ์ด้วยอัลกอฮอล์ 60% พบว่าสารสกัดจากกล้วยหอมและกล้วยพาโลดิบ ขนาด 0.5 และ 1 ก./กก. มีฤทธิ์ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารที่เกิดจาก indomethacin และรักษาแผลเรื้อรังที่เกิดจากกรดอะซิติค แต่มีฤทธิ์ต่ำ   ความยาวเฉลี่ยของแผลในกระเพาะอาหารหนูขาวที่กินสารสกัดจากกล้วยพาโลและกล้วยหอมในขนาด 1 ก./กก./วัน นาน 3 วัน ก่อนที่จะเกิดแผลเนื่องจาก indomethacin เท่ากับ 4.47 ±1.2 และ 1.87 ± 0.44 มม. ตามลำดับ (กลุ่มควบคุม 14.56 ±2.43 มม.)  และสารสกัดจากกล้วยหอมเท่านั้นที่มีผลในการรักษาแผลเรื้อรังที่เกิดจาก indomethacin แต่มีฤทธิ์ต่ำ  และกล้วยทั้ง 2 ชนิดให้ผลคล้ายกันในการรักษาแผลที่เกิดจากกรด  

                                             

  
สารแขวนลอยจากผลกล้วย sweet banana ดิบ เมื่อใช้ความเข้มข้นสูงสามารถลดการเกิดแผลในกระเพาะอาหารแบบเฉียบพลันที่เกิดจาก indomethacin เช่นเดียวกับผลของ phosphatidylcholine และเพคตินซึ่งเป็นสารในกล้วย  และในการรักษาแผลในกระเพาะอาหารแบบเรื้อรัง สารแขวนลอยจากกล้วยดิบให้ผลการรักษาไม่สมบูรณ์และออกฤทธิ์ชั่วคราวเท่านั้น
 เมื่อให้หนูขาวกินแป้งจากกล้วยป่าขนาด 1 ก./กก.  พบว่ายับยั้งการเกิดแผลในกระเพาะอาหารที่เกิดจาก indomethacin, เอทานอล และ hypothermic-restraint  69, 44 และ 48% ตามลำดับ   หนูขาวที่กินแอสไพริน แล้วกินผลกล้วยป่าดิบ พบว่าป้องกันไม่ให้เกิดแผลได้ เมื่อกินผงกล้วยดิบขนาด 5 ก. และรักษาแผลที่
เป็นแล้วในขนาด 7 ก.  สารสกัดด้วยน้ำมีฤทธิ์เป็น 300 เท่า ของผงกล้วยดิบ ส่วนกล้วยสุกไม่ให้ผง

       แป้งจากผลกล้วยออกฤทธิ์สมานแผลและเพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อเมือก และเร่งการแบ่งตัวของเซลล์  นอกจากนี้ยังมีผลต่อกระบวนการสร้าง macrophage cell อันส่งผลไปถึงการรักษาแผล จากฮีสตามีน  หนูที่กินกล้วยหักมุกดิบขนาด 5 ก./วัน นาน 2 วัน จะป้องกันการเกิดแผล

ทุเรียน

ทุเรียน

 เรียกได้ว่าเป็น “ราชาผลไม้” เลยก็ว่าได้เพราะความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะในตัวของทุเรียนเอง รูปร่างที่มีหนามโดดเด่น เนื้อทุเรียนภายในเหลืองอร่าม กลิ่น และรสชาติที่หลายๆคนติดใจ

เป็นยาถ่ายชั้นดีแต่โบร่ำโบราณ

จริงๆ แล้วทุเรียนเป็นผลไม้ที่คนโบราณนิยมกินเพื่อเป็นยาถ่ายพยาธิครับ เพราะแต่ก่อนไม่มียาหมอฝรั่งวางขายทั่วไปเหมือนในปัจจุบัน เลยใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านจากการคิดค้นของผู้เฒ่าผู้แก่เอง
โดยใช้ช่วง เวลาตื่นนอนเช้าหน่อยประมาณ ตี 5 ซึ่งเป็นเวลาที่ธาตุต่างๆของเราเริ่มทำงาน หลังจากที่เราล้างหน้า แปรงฟันเสร็จแล้ว ให้ทานทุเรียนประมานครึ่งลูก หรือ 2-3 พู ใหญ่ และดื่มน้ำอุ่นๆตามหลังจากที่ทานเสร็จ จากนั้นงดอาหารเช้า 2 วันเลยครับ   เส้นใยและความร้อนจากสารกำมะถันในทุเรียนจะไปชะล้างพยาธิและสิ่งสกปรก ต่างๆ ในลำไส้ออกมาจนหมด ทำให้คุณผอมลง ร่างกายแข็งแรงสดชื่นด้วย
อันนี้เป็นเคล็ดลับจากคนโบราณนะครับ นานๆทำทีก็ได้ครับ ถ่ายพยาธิแบบธรรมชาติ ^^
   
                                           

 ประโยชน์ตั้งแต่ผลทุเรียนจนถึงลำต้น

เนื้อ: เนื้อทุเรียนมีกำมะถันเป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ร้อน แต่ความร้อนนี้ล่ะจะช่วยแก้โรคผิวหนังได้ ทำให้ฝีหนองแห้งเร็ว และมีฤทธิ์ขับพยาธิได้ด้วย
เปลือก: ถ้าเอาเปลือกแหลมๆ ไปสับแช่ในน้ำปูนใส แล้วเอามาล้างแผลพุพอง แผลน้ำเหลืองเสีย แผลจะหายเร็ว หรือถ้าหากมีเด็กในบ้านเป็นคางทูม คนสมัยก่อนเขาก็จะเอาเปลือกทุเรียนไปเผาแล้วบดเป็นผง เอมาผสมกับน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าว แล้วเอามาพอกที่คาง คางทูมก็จะยุบ
ใบทุเรียน: เอาใบทุเรียนไปต้มกับน้ำแล้วเอาน้ำนั้นมาอาบ ความร้อนจะช่วย ให้หายไข้และโรคดีซ่านได้
ราก:ตัดเป็นข้อๆ ใส่หม้อต้มให้เดือด นำมาดื่มบรรเทาอาการไข้และรักษาอาการท้องร่วงได้ดี


  
นำ เนื้อทุเรียนสุกพอห่ามๆ ไม่ต้องสุกมาก มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ สักกำมือหนึ่ง ปั่นหรือบดก็ได้ครับ รวมกับดินสอพอง 1/4 ช้อนโต๊ะ จนเป็นเนื้อข้นๆ ทาไปเลยทั่วผิว เว้นรอบดวงตาและปาก หรือบริเวณที่เป็นสิว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จึงล้างออก ธาตุกำมะถันในทุเรียนจะทำให้สิวแห้งเร็วขึ้น
งานนี้ รับรองว่าถ้ากินไม่หมดเพราะว่าซื้อมาเยอะก็ยังเอามาทำเป็นยาบำรุงผิว รักษาสิวได้อีก สรรพคุณดีๆอย่างนี้แล้วใครที่ไม่ชอบทานก็ลองหันมาลองทำยารักษาบำรุงผิวพรรณ ดูได้นะครับ

ผลไม้ไทย

                     ประเทศไทยเป็นแผ่นดินที่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ เป็นดินแดนที่มีพืชพรรณตามธรรมชาติหลากหลายชนิดเหมาะต่อการเพาะปลูกและทำเกษตรกรรม มีสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกันทำให้เกิดความหลากหลายในการกระจายของผลผลิตไม้เมืองร้อนออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี พื้นที่ปลูกไม้ผลตามภาคต่างๆ ของประเทศไทยมีกว่า 9.68 ล้านไร่

        
        ผลไม้ไทยนับเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทยสามารถทำรายได้เข้าประเทศไทยปีละหลายล้านบาทและเป็นที่นิยมบริโภคกันทั่วไป ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ไม้ผลที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและมีมูลค่าการส่งออกสูงเป็นที่นิยมบริโภคในต่างประเทศจำนวน 10 ชนิด ได้แก่ ลำไย ทุเรียน มังคุด ลิ้นจี่ มะม่วง ส้มโอ เงาะ สับปะรด มะพร้าวน้ำหอม มะขาม เป็นต้น และไม้ผลที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจในอนาคตหรือเป็นไม้ผลท้องถิ่นหรือพื้นเมือง มีการบริโภคภายในประเทศมากกว่าการส่งออก ได้แก่ กระท้อน ชมพู่ น้อยหน่า พุทรา มะปราง ฝรั่ง ลองกอง ลางสาด สละ ขนุน มะนาว องุ่นและกล้วย เป็นต้น